ลบล้างทุกความเชื่อเก่าๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ไปได้เลยว่า ใครที่เป็นโรคเอดส์ หรือติดเชื้อ HIV จะต้องตายสถานเดียว เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขร่วมกับคนทั่วไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว เชื่อว่าคนไทยหลายคนยังคงติดอยู่กับภาพเดิมๆ ว่าผู้ป่วยโรคเอดส์ต้องทนทุกข์ทรมาน มีแผลขึ้นตามตัว และสุดท้ายก็เสียชีวิตทุกราย เพราะยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ 100% แต่อันที่จริงแล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวล้ำไปถึงไหนแล้ววันนี้เราจะมาอัพเดตให้อ่านกันค่ะ
รู้ไว้ก่อนว่า “ผู้ติดเชื้อ HIV” กับ “ผู้ป่วยโรคเอดส์” ไม่เหมือนกัน! อาจจะมีบางคนที่สับสนว่า คนที่ติดเชื้อ HIV กับคนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ คือคนเดียวกัน ความหมายเหมือนกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วทั้งสองอย่างให้ความหมายต่างกัน
ผู้ติดเชื้อ HIV คือ ผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายแล้ว และยังไม่มีอาการป่วยใดๆ
ผู้ป่วยเอดส์ คือ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV และมีอาการป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส ซึ่งหมายถึงป่วยด้วยโรคอื่นๆ ที่เข้ามาทำร้ายร่างกาย ขณะที่ร่างกายกำลังมีภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง เช่น วัณโรคในปอด เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา หรือโรคผิวหนังบางชนิด (อย่างที่เรามักจะเห็นกันว่าผู้ป่วยเอดส์มีแผลเต็มร่างกาย ซึ่งไม่ได้มาจากการเป็นโรคเอดส์ แต่มาจากโรคอื่นๆ ที่เข้าทำร้ายร่างกาย หลังภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเอดส์รักษาโรคฉวยโอกาสต่างๆ จนหายดีแล้ว ก็จะกลับมาอยู่ในสถานะผู้ติดเชื้อ HIV อีกครั้ง
เอดส์ ไม่ได้เป็นแล้วต้องมีแผลเต็มตัว แล้วสุดท้ายก็เสียชีวิต อย่างที่ใครหลายๆ คนคิด! ปัจจุบันโรคเอดส์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งครอบคลุมอยู่ในสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพ ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อทุกคน ได้รับยาต้านไวรัสทันทีที่ตรวจพบ ยิ่งเริ่มทานยาเร็วเท่าไร ยิ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง ภูมิคุ้มกันไม่ถูกทำลาย สามารถไปเรียน ไปทำงาน และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เหมือนคนปกติทั่วไป
กรณีที่พบผู้ป่วยร่างกายทรุดโทรม จนต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล จากนั้นจึงเริ่มมีแผลขึ้นตามเนื้อตามตัว และเสียชีวิตนั้น เกิดจากการที่ผู้ป่วยติดเชื้อ แล้วไม่ได้เข้ารับการรักษา ไม่ได้รับยาต้านไวรัส และเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนเท่านั้น
ดังนั้นสรุปได้ว่า นอกจากเอดส์เป็นแล้วไม่เป็นแผล ไม่ตายแล้ว เรายังสามารถอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ สามารถทานข้าวร่วมกัน นอนเตียงเดียวกัน อยู่ร่วมกันในบ้าน ซักผ้า ใช้ห้องน้ำร่วมกัน และว่ายน้ำในสระเดียวกันได้อย่างปลอดภัยและไม่ควรรังเกียจผู้ติดเชื้อเอชไอวีค่ะ
ด้วยความปราถานาดีจาก..กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองปรกฟ้า